วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คริสต์มาส


คริสต์มาส หรือ วันคริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas, Christmas Day หรือย่อ ๆ ว่า XMas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งคริสต์ศาสนา ซึ่งเชื่อกันว่าตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี พระองค์ประสูติที่เมืองเบธเลเฮมและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน

คริสต์มาสเป็น เทศกาลที่เฉลิมฉลองโดยชาวคริสต์ สำหรับการร่วมฉลองเทศกาลคริสต์มาสของผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสต์อาจจะไม่มีความ เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนา แต่เป็นการฉลองเทศกาลที่ได้พัฒนากลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจำปี การที่วันคริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งการให้ของขวัญและการตกแต่งบรรยากาศ จึงทำให้ช่วงเวลานี้มีปริมาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สูงทั้งกับชาวคริสต์และ ผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสต์ เทศกาลคริสต์มาสจึงกลายเป็นกิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของผู้ค้าปลีก

คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ (Christmas) ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษ (เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1038) และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

ประวัติ ความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรีย ก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ

ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริย เทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

คำอวยพร

คำอวยพรสำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย

ซานตาคลอส

นัก บุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุง เงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ซานตาครอสจริงๆแล้ว แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย นักบุญนิโคลาส เป็นนักบุญ ที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะ มาเยี่ยม เด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็อยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา โดย มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยน เป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็น สังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้นก็กลายเป็น ชายแก่ที่อ้วนใส่ชุดสีแดงอาศัย อยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อน เป็นยานพาหนะมีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมา ทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้ เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติ ของเขา

ต้นคริสต์มาส

ต้น คริสต์มาสหรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

เพลงคริสต์มาส

เพลง คริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งผู้แต่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปเพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก


การทำมิสซาเที่ยงคืน

เมื่อ พระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาส

เทียนและพวงมาลัย

ใน สมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุก อาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่าน ไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฝนดาวตกเดือนธันวาคม

ฝนดาวตกคนคู่

ฝน ดาวตกคนคู่เป็นฝนดาวตกที่น่าสนใจที่สุดเนื่องจากเกิดในฤดูหนาวที่ท้องฟ้า เปิดเป็นส่วนใหญ่และมีจำนวนมากทุกปี ปีนี้คาดว่าจะมีมากที่สุดในคืนวันจันทร์ที่ 13 ถึงเช้ามืดวันอังคารที่ 14 ธันวาคม โดยมีแสงจันทร์รบกวนในช่วงก่อนเที่ยงคืน จุดกระจายฝนดาวตกคนคู่อยู่ใกล้ดาวคาสเตอร์ในกลุ่มดาวคนคู่ ฝนดาวตกชุดนี้แตกต่างจากฝนดาวตกกลุ่มอื่นคือมีต้นกำเนิดจากดาวเคราะห์น้อย 3200 ฟีทอน (3200 Phaethon) ซึ่งน่าจะเคยเป็นดาวหางมาก่อน สามารถสังเกตดาวตกได้ตลอดทั้งคืนโดยเริ่มตั้งแต่เวลาหัวค่ำไปจนถึงเช้ามืด ดาวตกมักเกิดถี่มากที่สุดในช่วงประมาณตี 2 ซึ่งเป็นเวลาที่จุดกระจายฝนดาวตกอยู่สูงกลางฟ้า ความเร็วขณะเข้าสู่บรรยากาศโลกประมาณ 35 กม./วินาที ดาวตกจากฝนดาวตกคนคู่ส่วนใหญ่มีสีขาวและเหลือง สามารถพบดาวตกสว่างที่เรียกว่าลูกไฟได้ประมาณร้อยละ 5 ของดาวตกทั้งหมด

เวลาที่เริ่มเห็น(โดยประมาณ) 20:00 น.




วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ภาพวันลอยกระทง





ลอยกระทง

การ ลอยกระทง จะมีขึ้น ใน วัน ลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทยส่วนใหญ่
ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย

กิจกรรมวัน ลอยกระทง

นำกระทง ไป ลอยกระทง ตามแม่น้ำลำคลอง หรือตามแหล่งน้ำที่มีการจัดพิธี ลอยกระทง
จัดนิทรรศการ พิธี ลอยกระทง เพื่อเผยแพร่และอนุรักษ์ประเพณีไทย
ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ในการ ลอยกระทง เช่น การประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ การละเล่นพื้นเมือง เช่น รำวงเพลงเรือ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย
จัดรณรงค์ให้มีการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาทำกระทง เพื่อไม่ให้เกิดมลภาวะแก่แม่น้ำลำคลอง

เหตุผลในการลอยกระทง

ลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา ลอยกระทง เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทและบูชาเทพเจ้า ลอยกระทง ตามคติความเชื่อ ลอยกระทง เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา เพื่อรู้ถึงคุณค่าของน้ำหรือแม่น้ำลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต

การ ลอยกระทง ในยุคปัจจุบัน

การ ลอยกระทง ในปัจจุบัน ยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ได้ตามยุค เมื่อถึงวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 1 2 ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัสดุที่หาง่ายตามธรรมชาติ เช่น หยวกกล้วย และดอกบัว นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและดอกไม้ เครื่องสักการบูชา ก่อนทำการลอยในแม่น้ำก็จะอธิษฐานในสิ่งที่มุ่งหวังพร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคา ตามคุ้มวัดหรือสถานที่จัดงานหลายแห่ง มีการประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ และมีมหรสพสมโภชในตอนกลางคืน นอกจากนั้นยังมีการจุดดอกไม้ ไฟ พลุ ตะไล ซึ่งในการเล่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วัสดุที่นำมาใช้ทำกระทง ควรเป็นของที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ วันลอยกระทง สนุกกับการ ลอยกระทง นะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553



Insanity เครื่องเล่น ที่อยู่ สูงที่สุดในโลก อันดับ2


Insanity เป็นเครื่องเล่นตัวใหม่ล่าสุดของ สทาร์โทสเปียร์ คุณจะนั่งบนที่นั่งที่แขวนอยู่บนแขนเหล็กขนาดใหญ่ ทีจะนำคุณออกไปนอกตัวอาคารกว่า 19 เมตร สูงจากพื้นกว่า 274 เมตร แล้วเหวี่ยงคุณเป็นวงกลม ด้วยแรงเหวี่ยงกว่า 3G จะทำให้ที่นั่งที่ยึดคุณไว้เอียงทำมุม 70 องศา ในตำแหน่งทีตัวคุณจะต้องคว่ำหน้าลง หากคุณกล้าพอที่จะลืมตา ทาง สทาร์โทสเปียร์ ขอท้าคุณมาพบกับ Insanity กับ เครื่องเล่น ที่อยู่ สูงที่สุดในโลก อันดับ 2





สวนสนุก และ เครื่องเล่น ที่อยู่ สูงที่สุดในโลก



Stratosphere สทาร์โทสเปียร์ ถือเป็น หนึ่งในสัญลักษ์ของ นครแห่งการพนัน ลาสเวกัส ( Las Vegas ) เป็นกลุ่มอาคาร ที่ประกอบไปด้วย โรงแรม( Hotel ) คาสิโน( Casino ) และ หอคอยชมวิว( Observation ) หอคอยนี้ถือว่าเป็น หอคอยยืนอิสระ ( Free Staning ) ที่ สูงที่สุดในอเมริกา แต่จุดเด่นที่สุดของหอคอยนี้อยู่ที่ส่วนยอดของ หอคอยนี้ ที่มีสวนสนุก และเครื่องเล่น 3 ชนิด ด้วยความสูง 350 เมตร จึงทำให้เครื่องเล่นทั้ง 3 ชนิด เป็น เครื่องเล่น ที่อยู่ สูงที่สุดในโลก อันดับที่ 1 อันดับที่ 2 และอันดับที่ 3 ของโลก ดังรายการดังต่อไปนี้

Big Shot เครื่องเล่น ที่อยู่ สูงที่สุดในโลก


คุณ จะถูกส่งขึ้นไป ตามเสากว่า 48 เมตร ด้วยความเร็วกว่า 72 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง แต่เสานี้ัตั้งอยู่บนยอดหอคอย ทำให้เมื่อขึ้นสู่ยอดเสา คุณจะอยู่สูงจากพื้นดินกว่า 329 เมตร และนั้นทำให้ Big Shot เป็นเครื่องเล่น ที่อยู่ สูงที่สุดในโลก เป็นอันดับ 1 แต่ความสนุกยังไม่จบแค่นั้น คุณจะถูกปล่อยให้ตรงลงมาจากความสูง 280 เมตร ด้วยแรงกว่า 4G



วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

7 สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศ

หากคุณเป็นผู้ หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ

แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน)
วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี

แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม)
วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก

แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี)
วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส)
วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น)
วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย)
วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน...

7 สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศ

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เล่นคอมนานเกินไปส่งผลให้อยากของหวาน

สำหรับผลการวิจัยชิ้นนี้ ดร.ฌอง-ฟิ ลิปป์ ชาปูต์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ได้รายงานต่ออินเตอร์เนชั่นแนล คองเกรส ออน โอเบสิตี้ ในสต็อกโฮล์ม สวีเดน ว่าการเล่นเกมคอมพิวเตอร์และการดูทีวีมีผลแบบเดียวกัน และได้แนะนำให้ผู้ที่อยากรักษาหุ่นพักจากหน้าจอเป็นประจำ หรือกระทั่งลองยืนพิมพ์งานเป็นครั้งคราว

ดร.ชา ปูต์เริ่มการวิจัยเรื่องนี้หลังสังเกตว่า หัวหน้างานกินบิสกิตช็อกโกแลตบ่อยๆ เมื่อทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ในการทดลอง อาสาสมัครที่เป็นนักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งต้องย่อข้อความบนหน้าจอ และอีกกลุ่มนั่งพักผ่อน 45 นาที

ผลปรากฏว่ากลุ่มที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เผาผลาญพลังงานมากกว่าอีกกลุ่มเพียง 3 แคลอรี่ แต่กินอาหารบุฟเฟ่ต์ที่นักวิจัยจัดไว้ให้หลังจากนั้นมากกว่าถึง 230 แคลอรี่ โดยเฉพาะช็อกโกแลตและอาหารที่มีไขมัน

จากการทดลองแสดงให้เห็นว่าการ ทำงานกับคอมพิวเตอร์ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวนรุนแรง และฮอร์โมนกระตุ้นความอยากอาหารพุ่งพล่าน ผลลัพธ์คืออาสาสมัครสวาปามอาหารที่ไม่จำเป็น และในทางกลับกัน การออกกำลังกายทำให้ความผันผวนดังกล่าวลดลง จึงมีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะกินอาหารมากเกินไปหลังจากนั้น

และเพื่อสานต่องานวิจัยดังกล่าว ขณะนี้ ดร.ชา ปูต์มีแผนทดสอบว่าเครื่องเล่นเกมนินเทนโด วี ที่ผู้ใช้เลียนแบบการเล่นกีฬา กระตุ้นความอยากอาหารด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ความนิยมของเครื่องเล่นเกมนี้ ทำให้มีการนำไปใช้เพื่อต่อต้านโรคอ้วนตามโรงเรียนและทันฑสถานมากมายหลายแห่ง อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับภาษาที่เรียนย๊ากยากที่สุด !

อันดับที่ 10 Swahili

ภาษา สวาฮีลี (หรือ คิสวาฮีลี) เป็นภาษากลุ่มแบนตูที่พูดอย่างกว้างขวางในแอฟริกาตะวันออก ไม่ว่าจะเป็น แทนซาเนีย เคนยา ยูกันดา รวันดา บุรุนดี คองโก-กินชาซา โซมาเลีย คอโมโรส (รวมมายอต) โมซัมบิก และมาลาวี ภาษาสวาฮีลีเป็นภาษาแม่ของ ชาวสวาฮีลี ซึ่งอาศัยอยู่แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกระหว่างประเทศโซมาเลียตอนใต้ ประเทศโมแซมบิกตอนเหนือ มีคนพูดเป็นภาษาแม่ประมาณ 5 ล้านคนและคนพูดเป็นภาษาที่สองประมาณ 30-50 ล้านคน ภาษาสวาฮีลีได้กลายเป็นภาษาที่ใช้โดยทั่วไปในแอฟริกาตะวันออกและพื้นที่รอบ ๆ ว่ากันว่า การเรียนภาษาสวาฮิลีเป็นสิ่งท้าทายที่สุด


อันดับที่ 9 English

ภาษา อังกฤษ เป็นภาษาตระกูลเจอร์เมนิกตะวันตก มีต้นตระกูลมาจากอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแรกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลาง (lingua franca) เนื่อง จากอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ ซึ่งบางอาชีพต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษมาช่วยประสานงาน ทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายราบรื่นและสำเร็จลงไปได้ด้วยดี สาเหตุที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากโดยรวมเนื่องจาก เป็นภาษาที่ใช้อักษรละตินเป็นอักษรหลักในการเขียน และการสะกดคำหลายคำจะไม่ตรงกับการอ่านออกเสียง ซึ่งทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากภาษาหนึ่งในการเรียน


อันดับที่ 8 Korean

ภาษา เกาหลี เป็นภาษาที่ส่วนใหญ่พูดใน ประเทศเกาหลีใต้ และ ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการ และมีคนชนเผ่าเกาหลีที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนพูดโดยทั่วไป(ใน จังหวัดเหยียนเปียน มณฑลจื๋อหลิน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเกาหลี) ทั่วโลกมีคนพูดภาษาเกาหลี 78 ล้านคน รวมถึงกลุ่มคนในอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล ญี่ปุ่น และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผู้พูดใน ฟิลิปปินส์ ด้วย การจัดตระกูลของภาษาเกาหลีไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่คนส่วนมากมักจะถือเป็นภาษาเอกเทศ นักภาษาศาสตร์บางคนได้จัดกลุ่มให้อยู่ใน ภาษาตระกูลอัลไตอิกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากภาษาเกาหลีมีวจีวิภาคแบบภาษาคำติดต่อ ส่วนวากยสัมพันธ์หรือโครงสร้างประโยคนั้น เป็นแบบประธาน-กรรม-กริยา (SOV) แม้ว่าภาษาเกาหลีจะมีตัวอักษร กับสระเพียงไม่กี่ตัวที่ต้องจำ(อักษร 19 + สระ 21) หากแต่ว่าไวยกรณ์ของเกาหลียากมาก ต้องจำกฎสารพัด กว่าจะเข้าใจและสามารถเขียนและอ่านได้


อันดับที่ 7 German

ภาษาเยอรมัน หรือด๊อยช์ เป็นภาษากลุ่มเจอร์เมนิกด้านตะวันตก และเป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุดในสหภาพยุโรป ส่วนใหญ่พูดในประเทศเยอรมนี ออสเตรีย ลิกเตนสไตน์ ส่วนมากของสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก แคว้นปกครองตนเองเตรนตีโน-อัลโตอาดีเจในอิตาลี แคว้นทางตะวันออกของเบลเยียม บางส่วนของโรมาเนีย แคว้นอัลซาซและบางส่วนของแคว้นลอร์แรนใน ฝรั่งเศส นอกจากนี้ อาณานิคมเดิมของประเทศเหล่านี้ เช่น นามิเบีย มีประชากรที่พูดภาษาเยอรมันได้พอประมาณ และยังมีชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาเยอรมันในหลายประเทศทางยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย ฮังการี และสโลวีเนีย รวมถึงอเมริกาเหนือ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา) รวมถึงบางประเทศในละตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา และในบราซิล ภาษาเยอรมัน จะว่ายาก..มันก็ยาก เพราะมีการแบ่งเพศในคำนามสิ่งของที่มีอยู่ในโลกนี้ 3 เพศ เช่น เวลา หรือ นาฬิกา นั้นเป็นเพศหญิง เครื่องดื่มที่เป็นแอลกฮอลล์ทุกชนิด ยกเว้นเบียร์ ถือว่าเป็นเพศกลาง เป็นต้น(มันคิดได้ไงว่ะเนี้ย) นอกจากนี้ยังยากตรงไวยากรณ์ เพราะมีข้อยกเว้นมาก และยากที่จะพูดให้คล่องโดยถูกหลักไวยากรณ์ เพราะคำกริยาบางทีก็อยู่ข้างหลังประโยค นอกจากนี้คำกริยาและคุณศัพท์ยังต้องผันตามเพศของคำนามอีก



อันดับที่ 6 Russian

ภาษา รัสเซีย เป็นภาษากลุ่มสลาวิกที่ใช้เป็นภาษาพูดอย่างกว้างขวางที่สุด ภาษารัสเซียจัดอยู่ในกลุ่มอินโด-ยูโรเปียน ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กับภาษาสันสกฤต ภาษากรีก และภาษาละติน รวมไปถึงภาษาในกลุ่มเจอร์เมนิก โรมานซ์ และเคลติก (หรือเซลติก) ยุคใหม่ ตัวอย่างของภาษาทั้งสามกลุ่มนี้ได้แก่ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาไอริชตามลำดับ ส่วนภาษาเขียนนั้นมีหลักฐานยืนยันปรากฏอยู่เริ่มจากคริสต์ศตวรรษที่ 10ในปัจจุบัน ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีการใช้นอกประเทศรัสเซียด้วย มีเอกสารทางวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งตีพิมพ์เป็นภาษารัสเซีย รวมทั้งความรู้ในระดับมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่ง ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีความสำคัญทางการเมืองในยุคที่สหภาพโซเวียตเรือง อำนาจและยังเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่งของสหประชาชาติ และเป็นหนึ่งในภาษาที่ยากต่อการทำความเข้าใจ สับสน วุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเขียนหรือการอ่านออกเสียง


อันดับที่ 5 Japanese

ภาษา ญี่ปุ่น เป็นภาษาทางการ ของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ทั่วโลกราว 130 ล้านคน นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว รัฐอังกาอูร์ สาธารณรัฐปาเลา ได้กำหนดให้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการภาษาหนึ่ง นอกจากนี้ภาษาญี่ปุ่นยังถูกใช้ในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่ย้ายไปอยู่นอกประเทศ นักวิจัยญี่ปุ่น และนักธุรกิจต่าง ๆ คำภาษาญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลมาจากภาษาต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาษาจีน ที่ได้นำมาเผยแพร่มาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อกว่า 1,500 ปีที่แล้ว และตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็ได้มีการยืมคำจากภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาจีนมาใช้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน เช่นคำที่มาจากภาษาดัตช์ สาเหตุที่ภาษานี้มีความยากจนเรียกได้ว่าถึงขั้นพิสดารอันเนื่องมาจากคน ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีพิธีรีตองมาก ดังนั้นคำภาษาญี่ปุ่นจึงอักษรถึง3แบบ แบ่งคำศัพท์สำหรับใช้กับเพื่อน คนในครอบครัว อาจารย์เป็นต้น บางตัวไม่สามารถอธิบายได้ต้องจำเอาเอง ถือว่าเป็นภาษาที่ละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อน ยิ่งเป็นอักษรคันจิยิ่งไปใหญ่ ขนาดคนญี่ปุ่นด้วยกันเองก็แทบแย่เหมือนกัน


อันดับที่ 4 Polish

ภาษาโปแลนด์ คือภาษาทางการของประเทศโปแลนด์ มีต้นกำเนิดมาจากพื้นที่ของโปแลนด์ ในปัจจุบันจากภาษาท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะที่พูดใน Greater Poland และ Lesser Poland ภาษาโปแลนด์เคยเป็นภาษากลาง ในพื้นที่ต่างๆ ของยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เนื่องจากอิทธิพลทางการเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการทหารของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ในปัจจุบันภาษาโปแลนด์ไม่ได้ใช้กันกว้างขวางเช่นนี้ เนื่องจากอิทธิพลของภาษารัสเซีย อย่างไรก็ดี ยังมีคนพูดหรือเข้าใจภาษาโปแลนด์ในพื้นที่ชายแดนทางตะวันตกของยูเครน เบลารุส และลิทัวเนีย เป็นภาษาที่สองและคนอพยพจากประเทศโปแลนด์ที่อาศัยในพื้นที่ในประเทศต่างๆ เช่น ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อิสราเอล บราซิล แคนาดา สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ส่วนความยากนักคงเป็นที่ตัวอักษรที่ยากต่อความเข้าใจและการนำไปใช้ที่ยุ่ง ยากพอสมควร


อันดับที่ 3 Chinese

แน่ นอนว่าภาษาจีนเป็น อีกภาษาที่ยากที่สุดในโลก หากแต่กระนั้นมันมีความสำคัญต่อโลกเหมือนกันเพราะประชากรประมาณ 1/5 ของโลกพูดภาษาจีนแบบใดแบบหนึ่งเป็นภาษาแม่ ทำให้เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุด (สำเนียงพูดที่ถือเป็นมาตรฐาน คือ สำเนียงปักกิ่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มภาษาแมนดาริน)และเป็นหนึ่งใน 6 ภาษาที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติ (ร่วมกับ ภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน) แน่นอนความยากของภาษาจีนนั้นก็คือออกเสียงยาก เขียนยากอีกทั้งมันมีหลายแบบ หลายสำเนียง เช่น จีนกลาง, จีนกวางตุ้ง แถมอักษรยังมีสองแบบคืออักษรจีนตัวเต็ม และ อักษรจีนตัวย่อ


อันดับที่ 2 Hungarian

ภาษา ฮังการี เป็น ภาษากลุ่มฟินโน-อูกริกที่พูดในประเทศฮังการีและในประเทศเพื่อน บ้านคือ โรมาเนีย สโลวาเกีย ยูเครน เซอร์เบีย มอนเตเนโกร โครเอเชีย ออสเตรีย และสโลวีเนีย (ทั้งหมดเป็นประเทศที่ฮังการีได้สูญเสียดินแดนให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) มีคนพูดภาษาฮังการีประมาณ 14.5 ล้านคน มี 10 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในฮังการี และมีชนพื้นเมืองฮังการี ประมาณ 1,434,377 คนที่อาศัยอยู่ในโรมาเนีย โดยมีประชากรชนกลุ่มน้อยมากที่สุดในพื้นที่ทรานซิลเวเนียของโรมาเนีย


อันดับที่ 1 Basque

ภาษา บาสก์ เป็น ภาษาที่พูดโดยชาวบาสก์ซึ่งอาศัยอยู่แถบเทือกเขาพีเรนีสในตอนกลาง ของภาคเหนือของประเทศสเปน รวมทั้งในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสที่มีอาณาเขตติดต่อกัน หรือลึกลงไปกว่านั้นคือ ชาวบาสก์ได้ครอบครองแคว้นปกครองตนเองที่มีชื่อว่าแคว้นปกครองตนเองบาสก์ (Basque Country autonomous community) ซึ่งมีวัฒนธรรมและอิสระในการปกครองตนเองทางการเมือง นอกจากนี้ก็ยังมีชาวบาสก์ที่อยู่ในเขตนอร์เทิร์นบาสก์ในฝรั่งเศสและแคว้น ปกครองตนเองนาวาร์ในสเปนอีกด้วย ชื่อเรียกภาษาบาสก์อย่างเป็นทางการ (ในภาษาตนเอง) คือ เออุสการา (euskara) ส่วนในรูปภาษาถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ เออุสเกรา (euskera) เอสกูอารา (eskuara) และ อุสการา (üskara) แม้ว่าในทางภูมิศาสตร์จะถูกล้อมรอบด้วยภาษาในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน แต่ภาษาบาสก์กลับจัดเป็นภาษาโดดเดี่ยว (language isolate) ไม่ใช่ภาษาในตระกูลดังกล่าว

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553


วันแม่แห่งชาติ
ทุกวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี

วันแม่แห่งชาติ หรือที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "วันแม่" ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคือ วันที่ 12 สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพและถือว่าเป็นวันแม่ของชาติด้วย

แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวันแม่ของชาติ
ต่อมาถึง พ.ศ.2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
วันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่ทางราชการกำหนดในวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี และถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย โดยกำหนดให้ถือว่า "ดอกมะลิ" สีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่เรา

กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันแม่แห่งชาติ

  1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน
  2. จัดกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับวันแม่ เช่น การจัดนิทรรศการ
  3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่
  4. นำพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบขอพรจากแม่

วันแม่ในประเทศต่าง ๆ

  • อาทิตย์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ นอร์เวย์
  • 8 มีนาคม บัลแกเรีย, แอลเบเนีย
  • อาทิตย์ที่สี่ในฤดูถือบวชเล็นท์ (มาเทอริง ซันเ ดย์) สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์
  • 21 มีนาคม (วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ) จอร์แดน, ซีเรีย, เลบานอน, อียิปต์
  • อาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม โปรตุเกส, ลิทัวเนีย, สเปน, แอฟริกาใต้, ฮังการี
  • 8 พฤษภาคม เกาหลีใต้ (วันผู้ปกครอง)
  • 10 พฤษภาคม กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้, บาห์เรน, ปากีสถาน, มาเลเซีย, เม็กซิโก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อินเดีย, โอมาน
  • อาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม แคนาดา, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, ตุรกี, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, บราซิล, เบลเยียม, เปรู, ฟินแลนด์, มอลตา, เยอรมนี, ลัตเวีย, สโลวาเกีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, อิตาลี, เอสโตเนีย, ฮ่องกง
  • 26 พฤษภาคม โปแลนด์
  • 27 พฤษภาคม โบลิเวีย
    อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม สาธารณรัฐโดมินิกัน, สวีเดน
    อาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายนหรือ อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ฝรั่งเศส
  • 12 สิงหาคม ไทย (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ)
  • 15 สิงหาคม (วันอัสสัมชัญ) คอสตาริกา, แอนท์เวิร์ป (เบลเยียม)
    อาทิตย์ที่สองหรือสามของเดือนตุลาคม อาร์เจนตินา (Día de la Madre)
  • 28 พฤศจิกายน รัสเซีย
  • 8 ธันวาคม ปานามา
  • 22 ธันวาคม อินโดนีเซีย
  • วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

    ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ


    ความ ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ถือเป็นสัจจธรรมที่มีคนบางส่วนตระหนัก แต่ก็ยังมีอีกบางส่วนที่ยังไม่รู้ซึ้ง จนกว่าจะล้มเจ็บป่วยนั่นแล


    ดังนั้นการสามารถป้องกันความเจ็บป่วยไว้ได้ ย่อมจะดีกว่าแน่นอน เพราะคนป่วยต่อให้ร่ำรวยแค่ไหนก็คงหาความสุขได้ยาก จริงไหมคะ

    สรร มาหาเล่า..ขอเตือนสาวหนุ่มออฟฟิศไว้แต่ตรงนี้เลยนะคะว่าอย่าละเลยปัญหา สุขภาพ หรือนึกว่าอยู่ในห้องแอร์ปลอดภัยกว่า..มาเริ่มกันเลยดีกว่า ว่าภัยร้ายชาวออฟฟิศมีอะไรบ้าง


    1.ยิ่งเครียดยิ่งร่วง ยิ่งร่วง = = " โอยยิ่งเครียด

    แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่คุณอาจไม่เคยคิด นั่นก็คือการขาดแสงอาทิตย์? จริงหรือ?? สังเกตหรือไม่ส่วนใหญ่แล้วพนักงานฯ จะไม่ค่อยได้รับแสงแดดในยามเช้า แดดในยามเช้าจะช่วยให้เราสังเคราะห์วิตามิน K ที่จำเป็นต่อร่างกายรวมถึงหนังศีรษะด้วย


    2. อาการปวดหัว, ไมเกรน, อัลไซเมอร์, เบลอเป็นกิจวัตร

    สาเหตุ ก็คงทราบโดยทั่วไปด้วยว่าเกิดจากความเครียด แต่สาเหตุอีกประการที่น่าสนใจคือ การรับประทาน ท่านที่มีอาการดังกล่าวทานสิ่งเหล่านี้หรือไม่ แอลกอฮอล์ คาร์เฟอีน (กาแฟ น้ำอัดลม ยาชูกำลัง) อาหารไขมันสูง อาหารประเภทเนื้อสัตว์ 90% ของอาหารหลัก ถึงแม้ว่าอาการอัลไซเมอร์จะเป็นอาการสมองเสื่อมโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆ ของอาการสมองเสื่อมอื่นๆ ก็คือ การรับทานอาหารดังกล่าว อีกสาเหตุหนึ่งที่น่าสนใจคือการขาดการออกกำลังกาย โดยปรกติเราต้องออกกำลังกายประมาณ 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย


    3.อาการปวดตา น้ำตาแห้ง..เรตินาผิดปรกติ

    นอก จากความเครียดแล้วก็เหตุใหญ่ๆ ก็คือ การนั่งหน้าจอเกินวันละ 6 ชั่วโมง และการเพ่งอยู่หน้าจอในที่มืด (ดูเวปอะไรหนอต้องเพ่งในที่มืด) รวมทั้งการขาดวิตามิน A และ B -complex


    4. อาการไซนัส เป็นหวัด คัดจมูก ภูมิแพ้

    ก็ วันๆ จำศีลอยู่แต่ในห้องปรับอากาศ ถ้าเครื่องปรับอากาศเป็นรุ่นประหยัด ไม่มีตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพ อาการเหล่านี้จะถามหาแน่นอน ควรออกไปสูดอากาศข้างนอก...นอก กทม.บ้าง ปอดน้อยๆ จะได้ไม่พังก่อนเวลาอันควร


    5.ปาก...หมา ไม่ใช่ๆ ปากเหม็นตะหาก

    อันเนื่องมาจากความเครียด แบคทีเรียจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาวะที่คุณเครียด และมีอาหาร อาหารพวกกาแฟ แอลกอฮอล์ รวมทั้งการพูดจาที่น้อยกว่าปรกติ ทำให้น้ำลาย...บูด...ดังนั้นปากจึงแห้งและแบคทีเรียก็จะย่อยน้ำลาย และฟันฟางของท่านๆ แล้วปล่อยแก๊สออกมา


    6. อาการปวดคอ ปวดไหล่ ปวดข้อ ปวดนิ้ว รูมาตอย รูมาติก 2 อย่างหลังไม่ใช่ฮับ

    โดย มากเกิดจากอาการนั่งทำงานผิดท่าทาง นั่งเก้าอี้โต๊ะที่ไม่รองรับต่อการทำงาน แต่ท่านรู้หรือไม่ แม้ท่านนั่งถูกท่าแล้ว แต่หากนั่งเป็นเวลานานๆ ก็เมื่อย


    7. อาการ....อ้วน...อ้วน...อ้วนก็อ้วน อ้วน อ้วน

    นึกถึงลูกโป่ง ถ้าเราใส่น้ำเข้าไปโดยเจาะรูให้มันออกน้อยๆ มันก็บวมขึ้นๆๆๆ เช่นกัน ทุกวันเรากินอาหารอย่างน้อย 3 มื้อ มีพลังงานมากมายเข้าแต่ออกน้อยนิดมานก็อ้วนเป็นธรรมดา โดยที่ยาลดความอ้วนยี่ห้อไหนก็ช่วยไม่ได้ ยกเว้นยานั้นจะทำให้ไขมันในตัวท่านเปลี่ยนเป็นพลังงานทั้งหมด


    8.อาการโรคกระเพาะ กระเพาะคราก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว

    การกินอาหารแบบเร่งรีบ ทำให้กระเพาะและระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ และการกินไม่เป็นเวลา กินกาแฟ....


    9.ริดสีดวง อ่านไม่ผิด ริด - สี - ดวง

    เกิด จากการที่ท่านนั่งกันวันหนึ่งๆ กี่ชั่วโมงกัน ไหนจะ OT อีก บั้นท้ายท่านก็รับการกดทับเส้นเลือดดำบริเวณปลายลำไส้ก็เกิดอาการเลือดคั่ง บวมเป่งสิทีนี้ ยิ่งน้ำหนักมาก อาการก็เป็นไว ควรลุกเดินบ้าง.

    วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

    มหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวง มหาลัยในฝัน

    หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยว

    • Bachelor of Business Administration Program in Tourism Management
    • จำนวนรับ 150 คน
    • จำนวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตร 135 หน่วยกิต
    • จำนวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตร 135 หน่วยกิต

    • ค่าธรรมเนียมการศึกษาตลอดหลักสูตรโดยประมาณ - บาท

    หลักสูตรนี้มุ่งเน้นผลิตบัณฑิตให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการธุรกิจการ ท่องเที่ยวควบคู่ไปกับความสามารถด้านภาษาอังกฤษ และการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการทำงานและติดต่อสื่อสาร โดยนักศึกษาจะได้รับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถเป็นผู้ประกอบการรวมทั้งมีศักยภาพพร้อมที่จะพัฒนาเป็นผู้ บริหารระดับสูงต่อไปในอนาคต

    กุหลาบ สีรุ้ง






    Rainbow roses กุหลาบสีรุ้ง ดู หรือ ฟัง แล้วแทบจะไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องถึงกุหลาบจะมีมากมาย หลากหลายสี แต่ การผสม ให้ได้กุหลาบสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นขีดจำกัดที่นักพฤกษศาสตร์ ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปได้เลย แต่วันนี้เรากับมีกุหลาบสีรุ้ง ที่ไม่ได้มาจากการตกแต่งภาพ กันแล้ว

    รายละเอียดเกี่ยวกับ กุหลาบ สีรุ้ง

    ดอก กุหลาบที่เห็นในภาพ ไม่ได้เกิดจากการตกแต่งภาพ แต่ัมันก็ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่มันก็ไม่ใช่ดอกไม้พลาสติกมันเป็นดอกไม้จริงๆ แต่มันเกิดจากขบวนการทางวิศวกรรม
    ผู้คิดค้นกรรมวิธีในการสร้าง กุหลาบสีรุ้งคือ Peter van der Werken เจ้าของบริษัทเกี่ยวกับดอกไม้ ในประเทศฮอลแลนด์( Holland )
    วิธี สร้าง กุหลาบสีรุ้ง ทำโดยการฉีดสารสีเข้าไปที่ลำต้นของกุหลาบ ระหว่างที่ดอกกุหลาบกำลังเจริญเติบโต กลีบกุหลาบจะดูซับสีนั้นเอาไว้ ฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่ในความเป็นจริง มันกับมีขั้นตอน และขบวนการที่ยุ่งยากมาก


    *ดอก กุหลาบสายรุ้ง มีจำหน่ายที่ประเทศ ญี่ปุ่น อิตาลี่ สวิส ยุโรป ดอกละ 29 ยูโร (ประมาณ1200 บาท) ผู้ที่คิดค้นทำให้ดอกกุหลาบมีหลากสีได้ คือ ประเทศ ฮอล์แลนด์ ส่งออกปีละประมาณ หนึ่งล้านดอก